วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดท้ายบท




1. รหัสแทนข้อมูล คือ




2. รหัสที่ใช้แทนข้อมูลในปัจจุบัน มี 2 กลุ่ม คือ





3. ระบบจำนวนที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์  ประกอบด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ประวัติผู้จัดทำ



ชื่อ-สกุล นาย บริวัฒน์ แก้วยอด

อายุ 20 ปี

ชื่อเล่น ไปร์ท


ประวัติการศึกษา

อนุบาล-ประถมศึกษา โรงเรียนเทศบาล 2 (อ่อนอุทิศ)
มัธยมศึกษาปี่ที่ 1-2   โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดหัวป้อมนอก)
มัยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านป่าแฝกสามัคคี
มัธยมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนแม่ใจวิทยาคม
ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ วิทยาลับการอาชีพแกลง
ระบบจำนวนที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
  • ระบบเลขฐานสอง (Binary Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0และ 1
  • ระบบเลขฐานแปด (Octal Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0 – 7
  • ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0 – 9
  • ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Number System) ประกอบด้วยตัว เลข 0-9และ A – F
  • · บิต (Bit) สภาวะไฟฟ้า เส้น หรือค่า หรือ แต่ละค่าเรียกว่า บิต (Bit) ซึ่งเป็นคำย่อของ “Binary digit”
  • · ไบต์ (Byte) กลุ่มของบิตที่มีความหมายเฉพาะ ก็คือมีสายสัญญาณ เส้น แสดงว่ามีสัญญาณที่สามารถผสมผสานกันได้ บิต เรียกว่า ไบต์ (Byte)

  •  รหัสแอสกี (ASCII) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส 8บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว  เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีเหลืออยู่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้

    ·     รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC) เป็นคำย่อมาจาก Extended Binary Coded Decimal Interchange Code พัฒนาและใช้งานโดยบริษัทไอบีเอ็ม เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของไอบีเอ็มยังคงใช้รหัสนี้
    การแทนข้อมูลในหน่วยความจำ
    หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์เป็นที่เก็บข้อมูลและคำสั่งในขณะประมวลผล การเก็บข้อมูลในหน่วยความจำเป็นการเก็บรหัสตัวเลขฐานสอง ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลทั้งตัวเลขหรือตัวอักษรจะได้รับ  การแทนเป็นตัวเลขฐานสองแล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำ
ชนิดของรหัสแทนข้อมูล
ในทางทฤษฎีแล้วผู้ใช้สามารถกำหนดรหัสแทนอักขระใด ๆได้เองจากกลุ่มของเลขฐานสอง บิต แต่ในความเป็นจริงนั้นทำไม่ได้เพราะหากทำเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาระหว่างเครื่องสองเครื่องที่ใช้รหัสต่างกันเปรียบเทียบได้กับคนสองคนคุยกันคนละภาษาดังนั้นจึงควรมีการกำหนดรหัสแทนข้อมูลที่เป็นสากล เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆสามารถสื่อสารกันได้ รหัสแทนข้อมูลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือ
รหัส EBCDIC (Extended Binary Code Decimal Interchange Code)
รหัสเอบซีโคดพัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็มใช้แทนข้อมูลที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด หรือ 256 ชนิดการเก็บข้อมูลโดยใช้รหัสเอบซีดิกจะแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน คือโซนบิต (Zone bits)ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมีจำนวน บิตและนิวเมอริกบิต (Numeric bits)ในอีก บิตที่เหลือ
รหัส ASCII (American Standard Code for Information Interchange)
รหัสแอสกี เป็นรหัสที่นิยมใช้กันมากจนสามมารถนับได้ว่าเป็นรหัสมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล ( Data Communications) ซึ่งจำเป็นต้องใช้รหัสการแทนข้อมูลเป็นระบบเดียวกันเพื่อให้สามารถรับ - ส่งข้อมูลได้ในความหมายเดียวกัน รหัสแอสกีใช้เลขฐานสอง หลักแทนข้อมูลหนึ่งตัวเช่นเดียวกับรหัสเอบซีดิค นั่นคือ ไบต์มีความยาวเท่ากับ บิต รวมทั้งมีการแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน คือโซนบิตและนิวเมอริกบิตเช่นเดียวกัน

อักขระ
รหัสEBCDIC
รหัสASCII
อักขระ
รหัสEBCDIC
รหัสASCII
A
11000001
01000001
0
11110000
00110000
B
11000010
01000010
1
11110001
0011001
C
11000101
01000011
2
11110010
00110010
:
:
:
3
11110011
00110011
X
11100111
01011000
:
:
:
Y
11101000
01011001
:
:
:
Z
11101001
01011010
:
:
:
:
:
:


แสดงตัวอย่างการแทนข้อมูลด้วรหัส EBCDIC และ ASCII

โปรแกรมประยุกต์บางโปรแกรมได้มีการเปลี่ยนแปลงการแทนข้อมูลด้วยรหัสACSII ให้ต่างไปจากมาตรฐาน โดยรหัสการจัดรูปแบบตัวอักษร (formatiing) ให้เป็นตัวหนาหรือตัวเอียง เป็นต้น ทำให้โปรแกรมอื่น ๆไม่สามารถอ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นจากโปรแกรมประเภทนี้ได้เพราะมีการกำหนดรหัสแทนข้อมูลไม่ตรงกัน
รหัส UniCode
เป็นรหัสแบบใหม่ล่าสุดถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากรหัสขนาด บิตซึ่งมีรูปแบบเพียง 256 รูปแบบไม่สามารถแทนภาษาเขียนแบบต่าง ๆ ในโลกได้ครบหมด โดยเฉพาะภาษาที่เป็นภาษาภาพ เช่นภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นเพียงภาษาเดียวก็มีจำนวนรูปแบบเกินกว่า 256 ตัวแล้ว
UniCodeจะเป็นระบบรหัสที่เป็น 16 บิต จึงแทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 ตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวอักษรและสัญลักษณ์กราฟฟิกโดยทั่วไปรวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันระบบ UniCodeมีใช้ในระบบปฏิบัติการ Window NTระบบปฏิบัติการ UNIX บางรุ่น รวมทั้งมีการสนับสนุนชนิดข้อมูลแบบ UniCodeในภาษา JAVA ด้วย
รหัสแทนข้อมูล          
คอมพิวเตอร์ที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ทำงานแบบดิจิทัล เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะทำการแปลงข้อมูลนั้นเป็นเลขฐานสอง (Binary number system) ซึ่งประกอบด้วยเลข 0  และ เลข ซึ่งเรียกว่า รหัสแทนข้อมูล โดยเป็นรหัสที่ใช้แทน ข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้คอมพิวเตอร์และผู้ใช้สามารถเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้
รหัสที่ใช้ในการแทนข้อมูลในปัจจุบันมี กลุ่ม คือ
1. รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC): Extended Binary Coded Decimal Interchange Code)เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของไอบีเอ็มยังคงใช้รหัสนี้
2. รหัสแอสกี (ASCII): American Standard Code Information Interchange) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมาก ในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นรหัส 8 บิท แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว

การวัดขนาดข้อมูลหรือหน่วยวัดความจำ
หน่วยที่ใช้วัดความจำที่เล็กที่สุด คือ ไบต์ (Byte) ซึ่งหมายถึง จำนวนตัวเลขในระบบเลขฐานสองที่ต่อเนื่องกันเป็นกลุ่มแต่ละตัวเรียกว่า บิต (bit) เช่น 01100001 = 8 บิต ก็คือ ไบต์ ประกอบด้วยตัวเลข หรือ เลข จำนวน ตัว เรียงต่อกัน
          ทั้งนี้ ขนาด ไบต์ หรือ บิต จะสามารถใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้  1 ตัว ซึ่งจำนวน    8 บิต จะใช้แทนตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้เท่ากับ 256 แบบ หรือ เท่ากับ 2
ดังนั้นเราจะวัดขนาดข้อมูลของคอมพิวเตอร์ตามหน่วยวัดข้อมูลได้ดังนี้
8 BIT (บิต) = 1 Byte (ไบต์)      = 1 ตัวอักษร
1,024 B     = 1 KB (กิโลไบต์)    = 1,024 ตัวอักษร
1,024 KB  = 1 MB (เมกะไบต์)   = 1,048,576 ตัวอักษร
1,024 MB  = 1 GB (กิกะไบต์)    = 1,073,741,824 ตัวอักษร
1,024 GB   = 1 TB (เทระไบต์)   = 1,099,511,627 ตัวอักษร
 เนื่องจาก คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยกระแสไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีการแทนที่สภาวะของกระแสไฟฟ้าได้  2 สภาวะ คือ สภาวะที่มีกระแสไฟฟ้า และสภาวะที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า และเพื่อให้โปรแกรมเมอร์สามารถสั่งการคอมพิวเตอร์ได้ จึงได้มีการสร้างระบบตัวเลขที่นำมาแทนสภาวะของกระแสไฟฟ้า โดยตัวเลข จะแทนสภาวะไม่มีกระแสไฟฟ้า และเลข แทนสภาวะมีกระแสไฟฟ้าสภาวะ มีกระแสไฟฟ้า แทนด้วยตัวเลข 1สภาวะไม่มีกระแสไฟฟ้า
แทนด้วยตัวเลข 0 ระบบตัวเลขที่มีจำนวน จำนวน (ค่า) เรียกว่าระบบเลขฐานสอง (Binary Number System) ซึ่งเป็นระบบตัวเลข ที่สามารถนำมาใช้ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ โดยการแทนที่สภาวะต่างๆ ของกระแสไฟฟ้า แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราจะคุ้นเคยกับตัวเลขที่มีจำนวน 10 จำนวน คือ เลข 0 – 9 ซึ่งเรียกว่าระบบเลขฐานสิบ (Decimal Number System) ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาระบบเลขฐาน ประกอบการการศึกษาวิชาด้านคอมพิวเตอร์

รหัสแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์


รหัสแทนข้อมูล  หมายถึง รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระ ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ ที่ใช้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะแทนด้วยรหัสเลขฐานสองที่มีเลข ๐ กับ ๑ วางเรียงกัน ที่นิยมใช้มี ๓ รหัสคือ รหัสบีซีดี รหัสแอบซีดิก รหัสแอสกี้
รหัสแอสกี้ (ASCII) ย่อมาจาก American Standard Code for Information Interchange เป็นรหัสที่กำหนดขึ้นโดยหน่วยงานกำหนดมาตรฐานของสหรัฐอเมริการหัสอักขระแต่ละตัวประกอบด้วย ๘ บิต

บิตที่ ๔ ถึง ๗ เป็นส่วนที่ใช้กำหนดประเภทของตัวอักขระ
๐๐๑๐
เครื่องหมายต่าง ๆ
๐๐๑๑
ตัวเลขและเครื่องหมายต่างๆ
๐๑๐๐
A-O
๐๑๐๑
P-Z และเครื่องหมายต่าง ๆ
๐๑๑๐
a-o
๐๑๑๐
p-z และเครื่องหมายต่าง ๆ
บิตที่ ๐ ถึง ๓ เป็นรหัสแทนอักขระแต่ละตัวในกลุ่มนั้น
คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยหลักการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่แทนสัญญาณทางไฟฟ้าด้วยตัวเลขศูนย์และหนึ่งซึ่งเป็นตัวเลขในระบบเลขฐานสอง แต่ละหลักเรียกว่าบิต (Binary Digit: Bit)   และเมื่อนำตัวเลขหลาย ๆ บิตมาเรียงกัน จะใช้สร้างรหัสแทนความหมายจำนวน หรือตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้ และเพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปในแนวเดียวกัน จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสตัวเลขในระบบเลขฐานสองสำหรับแทนสัญลักษณ์เหล่านี้ รหัสมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากมีสองกลุ่มคือ

รหัสแอสกี้  (ASCII) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส ๘ บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ ๒๕๖ ตัว เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วยังมีเหลืออยู่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้  การแทนค่าแทนค่าด้วยตัวเลขแนวตั้ง(b๗ –b)ก่อน แล้วตามด้วยตัวเลขแนวนอน(b – b๐) เช่น   ก ๑๐๑๐๐๐๐๑   และ A ๐๑๐๐๐๐๐๑หน่วยความจำของไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ มีขนาดความกว้าง ๘ บิต และเก็บข้อมูลเรียงกันไป โดยมีการกำหนดตำแหน่งซึ่งเรียกว่า เลขที่อยู่ (Address)  เพื่อให้ข้อมูลที่เก็บมีความถูกต้อง การเขียนหรืออ่านทุกครั้งจึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิธีที่ง่ายและนิยมใช้กันคือการเพิ่มอีก ๑ บิต เรียกว่า บิตพาริตี้ (Parity bit) บิตพาริตี้ที่เพิ่มเติมเข้าไปจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในส่วนนั้นมีเลข ๑ เป็นจำนวนคู่ หรือจำนวนคี่ก็ได้  เช่น ในไมโครคอมพิวเตอร์เพิ่มอีก ๑ บิต เพื่อทำให้บิตที่แสดงค่าของรหัสเป็นจำนวนคู่  เรียกว่าพาริตี้คู่ (Even parity)  ส่วนการเพิ่มบิตพาริตี้รวมอยู่ในกลุ่มของรหัสแล้วทำให้บิตที่แสดงค่าของรหัสเป็นจำนวนคี่ เรียกว่าพาริตี้คี่ (Odd  parity)   บิตพาริตี้ที่เติมสำหรับข้อมูลตัวอักษร Aและ เป็นดังนี้
๐๑๐๐๐๐๐๑     <-- บิตพาริตี้       E ๐๑๐๐๐๑๐๑           <-- บิตพาริตี้

ข้อมูล มีเลข ๑ สองตัว ซึ่งเป็นจำนวนคู่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงใส่บิตพาริตี้เป็นเลข ๐  ข้อมูล E มีเลข ๑ เป็นจำนวนคี่ จึงใส่บิตพาริตี้เป็น ๑ เพื่อให้มีเลข ๑ เป็นจำนวนคู่ข้อความ BANGKOK เมื่อเก็บในหน่วยความจำหลักของไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีบิตพาริตี้ด้วยจะเป็นดังตัวอย่างด้านล่าง

 ตัวอย่างการแทนข้อความในหน่วยความจำแบบมีบิตพาริตี้

หน่วยความจำ

บิตพาริตี้
B
๐๑๐๐๐๐๑๐

A
๐๑๐๐๐๐๐๑

N
๐๑๐๐๑๑๑๐

G
๐๑๐๐๐๑๑๑

K
๐๑๐๐๑๐๑๑

O
๐๑๐๐๑๑๑๑

K
๐๑๐๐๑๐๑๑


การแทนคำสั่งในหน่วยความจำ  หน่วยควบคุมของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในซีพียู ทำการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำมาแปลความหมายและกระทำตาม คำสั่งคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่สุดเรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาเครื่องมีลักษณะเป็นรหัสที่ใช้ตัวเลขฐานสอง ตัวเลขฐานสองเหล่านี้แทนชุดรหัสคำสั่ง คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีคำสั่งที่ใช้ได้หลายร้อยคำสั่ง แต่ละคำสั่งจะมีความหมายเฉพาะ เช่น คำสั่งนำข้อมูลที่มีค่าเป็น ๓ จากหน่วยความจำตำแหน่งที่ ๘๐๐๐ มาบวกกับข้อมูลที่มีค่าเป็น ๕ ในตำแหน่งที่ ๘๐๐๑  ผลลัพธ์ที่ได้ให้เก็บไว้ในหน่วยความจำตำแหน่งที่ ๘๐๐๒ เมื่อเขียนคำสั่งเป็นภาษาเครื่องจะมีลักษณะเป็นตัวเลขฐานสองเรียงต่อกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเข้าใจได้ยาก จึงมักใช้ตัวอักษรแทนรหัสภาษาเครื่องเหล่านี้  
 ตัวอย่างการแทนภาษาเครื่องในหน่วยความจำ
ตัวอักษรแทนรหัสภาษาเครื่อง
ภาษาเครื่อง
LD A,(๘๐๐๐)
๐๐๑๑๑๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๐๐,๑๐๐๐๐๐๐๐
LD B,A
๐๑๐๐๐๑๑๑
LD A,(๘๐๐๑)
๐๐๑๑๑๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๐๑,๑๐๐๐๐๐๐๐
ADD A,B
๑๐๐๐๐๐๐๐
LD (๘๐๐๒),A
๐๐๑๑๐๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๑๐,๑๐๐๐๐๐๐๐

  รหัสภาษาเครื่อง เมื่อเก็บอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเรียงต่อกันไป สมมติให้ส่วนของโปรแกรมเก็บในหน่วยความจำตำแหน่งเริ่มจาก ๑๐๐๐ และข้อมูลเก็บไว้ที่ตำแหน่งเริ่มจาก ๘๐๐๐ ดังตารางที่ ๔.๔  การเก็บข้อมูลและคำสั่งลงในหน่วยความจำด้วยรหัสเลขฐานสองภาษาสั่งการพื้นฐานที่ใช้รหัสตัวเลขฐานสองนี้เรียกว่า ภาษาเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียูต่างตระกูลกันจะมีภาษาเครื่องที่ต่างกัน เช่น เครื่องที่ใช้ซีพียูเพนเทียมกับซีพียูที่ใช้ในเครื่องแมกอินทอช มีรหัสคำสั่งต่างกัน







รหัสภาษาเครื่อง


ตำแหน่ง
หน่วยความจำ

 บิตพาริตี้
LD A,(๘๐๐๐)


๑๐๐๐
๐๐๑๑๑๐๑๐

๑๐๐๑
๐๐๐๐๐๐๐๐

๑๐๐๒
๑๐๐๐๐๐๐๐

LD B,A
๑๐๐๓
๐๑๐๐๐๑๑๑

LD A,(๘๐๐๑)


๑๐๐๔
๐๐๑๑๑๐๑๐

๑๐๐๕
๐๐๐๐๐๐๐๑

๑๐๐๖
๑๐๐๐๐๐๐๐

ADD A,B
๑๐๐๗
๑๐๐๐๐๐๐๐

LD (๘๐๐๒),A


๑๐๐๘
๐๐๑๑๐๐๑๐

๑๐๐๙
๐๐๐๐๐๐๑๐

๑๐๑๐
๑๐๐๐๐๐๐๐

-
-
-

-
-
-


-
-
-
-


-
-
-

-
-
-
-

-
ข้อมูล

๘๐๐๐
๐๐๐๐๐๐๑๑

๘๐๐๑
๐๐๐๐๐๑๐๑

ผลลัพธ์
๘๐๐๒
๐๐๐๐๑๐๐๐







รหัสแทนข้อมูล
บิต ไบต์ เวิร์ด
เลข และ 1ในระบบฐานสองแต่ละตัวเรียกว่าบิต (bit) ย่อมาจากคำว่าBinary Digit บิตเป็นหน่วยเล็กที่สุดในการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์แต่เนื่องจากบิตเดียวไม่สามารถเก็บข้อมูลตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆได้ครบ ดังนั้นจึงต้องรวมบิตหลายบิตเข้าเป็นกลุ่มเรียกว่าไบต์ (byte) แต่ละไบต์จะแทนอักขระหนึ่งตัวโดยปกติแล้วใช้แปดบิตรวมกันเป็นหนึ่งไบต์ในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องคำนึงถึงรหัสที่ใช้แทนข้อมูลความจุของหน่วยความจำและความจุของที่เก็บข้อมูลสำรองในคอมพิวเตอร์ซึ่งหน่วยของความจุที่เก็บข้อมูลจะมีหน่วยเป็นหน่วยของไบต์และหากมีความจุสูงก็อาจใช้หน่วยความจุเป็นกิโลไบต์ (Kilobyte) โดยหนึ่งกิโลไบต์มีค่าเป็น 1,024 ไบต์ ใช้สัญลักษณ์ KB หรือ แทน(บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ กิโลไบต์ ประมาณ 1,000 ไบต์) ดังนั้นถ้าหน่วยความจำขนาด 640 กิโลไบต์ จะเก็บข้อมูลได้ 640 x 1,024 หรือ 655,360 ไบต์นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจุเป็นเมกะไบต์ (Megabyte)ซึ่งมีค่าเป็น 1,024 x1,024 หรือ1,048,576 ไบต์ ใช้สัญลักษณ์ MB หรือ แทน (บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ 1เมกะไบต์ ประมาณ 1,000,000 ไบต์หรือหนึ่งล้านไบต์)
ปัจจุบันนี้หน่วยความจำมีความจุมากขึ้นจนอยู่ในหน่วยของจิกะไบต์(Gigabyte) ซึ่งมีค่าเป็น 1,024 x1,024 x1,024ไบต์ หรือ 1,073,741,824 ไบต์ใช้สัญลักษณ์ GB หรือ แทน (บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ จิกะไบต์ ประมาณ1,000,000,000 ไบต์ หรือหนึ่งพันล้านไบต์)ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าจะมีหน่วยความจำหลักเพียง 640 กิโลไบต์แต่ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ จะมีหน่วยความจำหลักที่มีความจุตั้งแต่ เมกะไบต์ถึง 32 เมกะไบต์ หรือมากกว่านี้ส่วนในเครื่องเมนเฟรมจะมีหน่วยความจำที่มีความจุถึงหน่วยของจิกะไบต์นอกจากนี้ ในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ยังมีการรวมกลุ่มของบิตจำนวนหนึ่งเรียกว่าเวิร์ด (word) ซึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดจะมีขนาดของเวิร์ดไม่เท่ากันโดยทั่วไปแล้วถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องใดมีเวิร์ดขนาดใหญ่กว่าก็แสดงว่าเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าโดยในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปจะใช้ บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ดในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์และไมโครคอมพิวเตอร์บางรุ่นใช้ 16บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ด ในเครื่องระดับเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์บางรุ่นใช้ 32บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ด ส่วนในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้ 64 บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ดในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าเป็นเครื่องขนาด บิต (หนึ่งเวิร์ด) จะหมายความว่า ณขณะใดขณะหนึ่งเครื่องนั้นจะสามารถประมวลผลได้ครั้งละ บิตแต่ในเครื่องขนาดใหญ่ขนาด 64 บิตจะสามารถประมวลผลได้ครั้งละ 64 บิตหรือ ไบต์ทำให้ประมวลผลเร็วกว่าเครื่องรุ่นเก่าถึง เท่า